หลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาการศึกษา
“การจัดการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิผล
ครูผู้สอนจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา
การเรียนการสอนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้
โดยการนำไปบูรณาการกับวิธีการสอนอย่างสมดุล”
จากบทความดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่าทั้งหลักการ จิตวิทยา และการศึกษามีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันโดยแต่ละคำมีความหมายดังต่อไปนี้
หลักการ
หมายถึงสาระสำคัญที่ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ เช่น
คณะกรรมการลงมติรับหลักการตามที่มีผู้เสนอ
จิตวิทยา หมายถึงว่าด้วยจิต
เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งว่าด้วยปรากฎการณ์ พฤติกรรม และกระบวนการของจิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Psychology) เป็นวิชาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับศาสตร์แขนงต่าง
ๆ ได้แทบทุกศาสตร์
และเป็นที่ยอมรับว่ามีความสำคัญและมีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านส่วนตัวเอง ด้านครอบครัว ด้านเพื่อนร่วมงาน และด้านการประกอบอาชีพร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม เป็นต้น
การศึกษา หมายถึงการศึกษา
คือการสร้างคนให้มีความรู้
ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม
มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมที่จะ ประกอบการงานอาชีพได้
การศึกษาช่วยให้คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม
การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง
ประเภทหลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาการศึกษา
1 ทฤษฎีการเรียนรู้ ได้มาจาก 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มพฤติกรรมและกลุ่มความรู้
1.1กลุ่มพฤติกรรม (Behaviorism)
ทฤษฏีการเสริมแรง ของพาฟลอบ
การปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียวสิ่งเร้านั้นก็อาจจะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้น
ได้ถ้าหากมีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้อง
นักจิตวิทยาการศึกษากลุ่มนี้ เช่น chafe Watson Pavlov,
Thorndike, Skinner ซึ่งทฤษฎีของนักจิตวิทยากลุ่มนี้มีหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning
Theory) ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง(Connectionism Theory) ทฤษฎีการเสริมแรง
(Stimulus-Response Theory)ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning
Theory) เจ้าของทฤษฎีนี้ คือ พอฟลอบ (Pavlov) กล่าวไว้ว่า
ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งของร่างกายของคนไม่ได้มาจากสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
สิ่งเร้านั้นก็อาจจะทําให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นได้ถ้าหากมีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้องเหมาะสม ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง (Connectionism
Theory) เจ้าของทฤษฎีนี้ คือ ธอร์นไดค์ (Thorndike) ซึ่งกล่าวไว้ว่า
สิ่งเร้าหนึ่ง ๆ ย่อมทำให้เกิดการตอบสนองหลาย ๆ อย่าง
จนพบสิ่งที่ตอบสนองที่ดีที่สุด เขาได้ค้นพบกฎการเรียนรู้ที่สำคัญคือ
1. กฎแห่งการผล (Law
of Effect)
2. กฎแห่งการฝึกหัด
(Law of Exercise)
3. กฎแห่งความพร้อม
(Law of Readiness)
แนวคิดของธอร์นไดค์
นักการศึกษาและจิตวิทยาชาวเยอรมัน ผู้ให้กำเนินทฤษฎีแห่งการเรียนรู้
ได้เสนอหลักการ ภารกิจของการสอนของครูไว้ 2 ประการ
และเสนอหลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษาไว้ 5 ประการ
ภารกิจของการสอนของครูไว้
2 ประการ คือ
.....1. ควรจัดเรื่องหรือสิ่งที่จะสอนต่าง
ๆ ที่ควรจะไปด้วยกัน ให้ได้ดำเนินไปด้วยกัน
.....2. ควรให้รางวัลการสัมพันธ์เชื่อมโยงที่เหมาะสม
และไม่ควรให้ความสะดวกใด ๆ
ถ้าไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่เหมาะสมขึ้นมาได้
หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษาและการสอนของเขา
ไว้ 5 ประการ คือ
.....1. การกระทำกิจกรรมต่าง
ๆ ด้วยตนเอง (Self – Activity)
.....2. การทำให้เกิดความสนใจด้วยการจูงใจ
(Interest Motivation)
.....3. การเตรียมสภาพที่เหมาะสมทางจิตภาพ
(Preparation and Mentalset)
.....4. คำนึงถึงเรื่องเอกัตตะบุคคล
(Individualization)
.....5. คำนึงถึงเรื่องการถ่ายทอดทางสังคม
(Socialization)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข/ทฤษฎีการเสริมแรง(S-RTheory
หรือ Operant Conditioning) เจ้าของทฤษฎีนี้คือ สกินเนอร์ (Skinner)
กล่าวว่า ปฏิกิริยาตอบสนองหนึ่งอาจไม่ใช่เนื่องมาจากสิ่งเร้าสิ่งเดียว
สิ่งเร้านั้นๆ ก็คงจะทําให้เกิดการตอบสนองเช่นเดียวกันได้ ถ้าได้แนวคิดของสกินเนอร์นั้น
นํามาใช้ในการสอนแบบสําเร็จรูป หรือการสอนแบบโปรแกรม (Program Inattention)
สกินเนอร์เป็นผู้คิดบทเรียนโปรแกรมเป็นคนแรก
คาร์เพนเตอร์ และเดล(C.R. Carpenter and
Edgar Dale) ได้ประมวลหลักการและทฤษฏีเทคโนโลยีทางการศึกษาในลักษณะของการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ คือ หลักการจูงใจ สื่อเทคโนโลยีทางการศึกษาจะมีพลังจูงใจที่สําคัญในกิจกรรมการเรียนการ
สอน เพราะเป็นสิ่งที่สามารถผลักดัน
ส่งเสริมและเพิ่มพูนกระบวนการจูงใจที่มีอิทธิพลต่อพลังความสนใจความต้องการ
ความปรารถนา และความคาดหวังของผู้เรี ยนที่จะศึกษา การพัฒนามโนทัศน์ (Concept)
ส่วนบุคคล วัสดุการเรียนการสอนจะช่วยส่งเสริมความ คิด
ความเข้าใจแก่ผู้เรียนแต่ละคน ดังนั้นการเลือก การผลิตและการใช้วัสดุการเรียนการสอน
ควรจะต้องสัมพันธ์กบความสามารถของผู้สอน และผู้เรียน
กระบวนการเลือกและการสอนด้วยสื่อเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติเกี่ยวกับสื่อจะเป็นแบบลูกโซ่ในกระบวนการเรียนการสอน
การจัดระเบียบประสบการณ์เทคโนโลยีทางการศึกษา ผู้เรียนจะเรียนได้ดีจากสื่อ
เทคโนโลยีที่จัดระเบียบเป็ นระบบการมีส่วนรวมและ การปฏิบัติ ผู้เรียนต้องการมีส่วนร่วม
และการปฏิบัติด้วยตนเองมากที่สุ ดการฝึกซํ้าและ การเปลี่ยนแปลงสิ่งเร้าบ่อยๆ
อัตราการเสนอสื่อในการเรียนการสอน อัตราหรือช่วงเวลาการเสนอข้อความรู้ต่างๆ จะ
ต้องมีความสอดคล้องกับความสามารถอัตราการเรียนรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน ความชัดเจน ความสอดคล้อง และความเป็นผล
การถ่ายโยงที่ดีโดยที่การเรียนรู้แบบเก่าไม่อาจถ่ายทอดไปสู่การเรียนรู้ใหม่ได้อย่าง
อัตโนมัติ จึงควรจะต้องสอนแบบถ่ายโยงเพราะผู้เรียนต้องการแนะนําในการปฏิบัติ
และเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้นั้นที่เป็นประโยชน์ต่อการนําไปใช้ในสถานการณ์จริง การให้รู้ผล การเรียนรู้จะดีขึ้น
ส่วนบูเกสสกี (Bugelski) ได้สนับสนุนว่า
การเรียนรู้จะเป็ นผลจากการกระทําของผู้เรียน ไม่ใช้กระบวนการถ่ายทอดของผู้สอน
เพื่อผู้เรียนจะได้เชื่อมโยงความรู้ใหม่ได้สะดวกซึ่ งหมายถึงว่า
เทคโนโลยีทางการศึกษาจะเป็นตัวการประสานความรู้โดยตรงแก่ผู้เรียน
หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวกบนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษายังต้องอาศัยวิธีการที่
สําคัญ คือ วิธีการเชิงมนุษยวิทยา (Humunistic Approach) ได้แก่
การที่ครูให้ความสนใจต่อการพัฒนาในด้านความเจริญเติบโตของผู้เรียนแต่ละคน วิธีการสอนเชิงระบบ (Systematic
Approach) ได้แก่ การจัดการเรียนการสอน
โดยอาศัยวิธีระบบทั้งเพราะการเรียนการสอนเป็ นการถ่ายทอดศิลปะ วัฒนธรรม
ความรับผิดชอบต่อสังคมในลักษณะของการเข้าใจเนื้อหาวิชาจิตวิทยาการเรียนรู้
1.2กลุ่มความรู้ (Cognitive)
ทฤษฏีภาคสนาม เช่นของไดเลอร์ (congnitive
Field Theory )เน้นความสำคัญของส่วนรวม
ดังนั้นแนวคิดของการสอนซึ่งมุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นส่วนรวมก่อนโดยเน้นเรียนจากประสบการณ์
ความหมายกลุ่มปัญญานิยม
ปัญญา นิยมหรือกลุ่มความรู้ความเข้าใจ
หรือบางครั้งอาจเรียกวากลุ่มพุทธินิยมเป็นกลุ่มที่เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด
นักคิดกลุ่มนี้ ได้ขยายขอบเขตของความคิดที่เน้นทางด้านพฤติกรรม
ออกไปสู่กระบวนการทางความคิด ซึ่งเป็นกระบวนการภายในสมอง นักคิดกลุ่มนี้เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิด
จากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น
การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล
การสร้างความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูล
และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทําและการแก้ปัญหาต่างๆ
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความ
เข้าใจให้แก่ตนเอง
ทฤษฎีปัญญานิยมนี้ เกิดขึ้นจากแนวคิดของชอมสกี้(Chomsky)
ที่ไม่เห็น ด้วยกับสกินเนอร์ (Skinner) บิดา
ของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ในการมองพฤติกรรมมนุษย์มนุษย์ไว้วา
เป็นเสมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ชอมสกี้เชื่อวา พฤติกรรมมนุษย์นั้นเป็นเรื่องของภายในจิตใจ
มนุษย์ไม่ใช่ผ้าขาวที่เมื่อใส่สีอะไรลงไปก็จะกลายเป็นสีนั้น มนุษย์มีความนึกคิด
มีอารมณ์จิตใจและความรู้สึกภายในที่แตกต่างกนออกไป ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนก็ควรที่จะคํานึงถึงความแตกต่างภายในของมนุษย์ด้วย
2 ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล
ได้รับการพัฒนามาจากแนวความคิดเรื่องสิ่งเร้าและการตอบสนอง
(Stimulus-Response) หรือทฤษฎี เอส-อาร์ (S-R theory) ของกาเย่ และนำมาประยุกต์ใช้อธิบายว่า บุคคลมีความแตกต่างกันหลายประการ เช่น บุคลิกภาพ ทัศนคติ
สติปัญญา และความสนใจ เป็นต้น
ความแตกต่างนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมทำให้มีพฤติกรรมการสื่อสารและการเลือกเปิดรับสารที่แตกต่างกัน
ได้แก่
1) มนุษย์เรามีความแตกต่างกันมากในองค์ประกอบทางจิตวิทยาส่วนบุคคล
2) ความแตกต่างนี้บางส่วนมาจากลักษณะแตกต่างทางชีวภาค
หรือทางร่างกายของแต่ละบุคคล
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากความแตกต่างที่เกิดจากการเรียนรู้
3) มนุษย์ซึ่งถูกชุบเลี้ยงภายใต้สภาพการณ์ต่างๆ
จะเปิดรับความคิดเห็นแตกต่างกันไป
4) การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมทำให้เกิดทัศนคติ
ค่านิยม และความเชื่อที่รวมเป็นลักษณะทางจิตวิทยาส่วนบุคคลที่แตกต่างกันไป
3 ทฤษฎีการพัฒนาการ ประกอบด้วย ทฤษฎีของเปียเจท์ บรูนเนอร์
อิริคสัน ดีเซล
ทฤษฎีพัฒนาการของดีเซล (Gesell’s
Theory of Development) ได้อธิบายว่า พฤติกรรมของบุคคลจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการ
ซึ่งจะเป็นไปตามธรรมชาติ และเมื่อถึงวัยก็จะสามารถ กระทําพฤติกรรมต่างๆ ได้เอง ไม่จําเป็นต้องฝึก
หรือเร่งเมื่อยังไม่พร้อมในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนจะต้องคำนึงความพร้อม
ความสามารถ ความสนใจ และความตองการของผู้เรียน
ทฤษฎีพัฒนาการของเปียเจท์ (Piaget’s
Theory of Development) ได้อธิบายว่าการ
พัฒนาการสตปัญญาและความคิดของผู้เรียนนั้นเกิดจากการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม และผู้สอนควรจะต้องจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียนด้วย
ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์ (Bruner’s
Theory of Development) ได้อธิบายการ
ความพร้อมของเด็กสามารถจะปรับได้ซึ่งสามารถจะเสนอเนื้อหาหาใดๆ แก่เด็กในอายุเท่าใดก็ได้แต่จะต้องรู้จักการตัดเนื้อหาและวิธีการสอนที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กเหล่านั้น
ดังนั้นผู้สอนจึงจําเป็นจะต้องเข้าใจเด็ก
และรู้จักกระตุ้นโดยการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็กด้วย
ทฤษฎีพัฒนาการของอีริคสัน (Erikson’s
Theory of Development ) ได้อธิบายว่า การพัฒนาการทางบุคลิกภาพย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอินทรีย์กับสภาพสังคมที่มีอิทธิพลมาเป็นลําดับขั้นของการพัฒนา
และจะสืบเนื่องต่อๆ ไปเด็กที่มีสภาพสังคมมาดี ก็จะมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดี ดังนั้นผู้สอนควรจะต้องสร้างสัมพันธภาพกับผู้เรียน
ให้ความสนใจเพื่อชวยแก้ปัญหาค่านิยมบางประการ
หลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาที่สําคัญ
จิตวิทยาที่เกี่ยวขี้องกับการศึกษาและการเรียนการสอนโดยตรงได้แก่
1.
จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental psychology) จะกล่าวถึงพัฒนาของบุคคลแต่ละวัยในด้านต่างๆ
หรือความพร้อมของผู้เรียน ซึ่งช่วยในการจัดการเรียน การอบรมสั่งสอนมีความสอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียนยิ่งขึ้น
2. จิตวิทยาที่ว่าด้วยความแตกต่างระหว่างบุคคล
(Psychology of individual Differences) จะกล่าวถึงความแตกต่างของบุคคลในด้านต่างๆ
และธรรมชาติของบุคคลที่จักต้องยอมรับลักษณะเช่นนี้เพื่อที่จะชวยจัดการศึกษาให้ดีที่สุดสําหรับผู้เรียนทุกๆ
คน
3. จิตวิทยาการเรียนรู้
(Psychology of learning) จะกล่าวถึง สภาพการณ์เรียนรู้
และกระบวนการเรียนรู้ของคนเรา ซึ่งจะอธิบายโดยทฤษฎีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (S-R
Theory) ลักษณะหนึ่งและอธิบายโดยทฤษฎีความรู้ (Cognitive
Theory) หรือ Cognitive-rield Theory) ซึ่งจะช่วยในด้านการสอนโดยตรง
4. จิตวิทยาบุคลิกภาพ
(Psychology of Personality) จะกล่าวถึงพฤติกรรมการเรียนรู้
และแรงจูงใจที่ ปฎิสัมพันธ์กัน
ซึ่งจะชวยให้ผู้สอนเข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนดีขึ้น
5. จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) จะกล่าวถึง
คุณค่า จริยธรรม และการรวมกลุ่มขอบุคคล รวมทั้งอิทธิพลของกลุ่มและสภาพแวดล้อม
ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนสามารถใช้กระบวนการกลุ่มในการเรียนการสอน
และการปรับสภาพการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสังคม
สรุป
“การนำหลักการและทฤษฏีทางจิตวิทยา
ไปประยุกต์ใช้เพื่อวางแผนการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ
จึงนับว่ามีความสำคัญต่อการปฎิรูปการเรียนของครู
ผู้สอนให้มีประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น”
E-mail nualmuangs@gmail.com